ช่วงนี้มีแต่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่เปิดตัวมาพร้อมกับรองรับเครือข่าย 5G ซะส่วนใหญ่ บางคนก็ว้าว บางคนก็เฉยๆ ซึ่งหลังจบจากการประมูลไป ทำให้กระแสของ 5G นั้นแตกตื่นและตื่นตัวกันมากขึ้น เพราะมันจะไม่ใช่แค่ระบบเครือข่ายบนสมาร์ทโฟนแล้ว แต่จะเป็นการถูกใช้งานอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารหรือคำสั่งทางไกลอย่างไร้ความหน่วง อย่างเช่น การควบคุมรถยนต์แบบไร้คนขับ ซึ่งก็นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใครหลายคนต้องรู้จักอย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้บอกเลยว่า ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคลนะ บางคนก็เฉยๆ กับเทคโนโลยีกับบางคนต้องทันตามเทคโนโลยี 5G คือต้องไปให้สุด เทคโนโลยีสุดเท่าไหนต้องตามไปให้สุดเท่านั้น
ประโยชน์ของ 5G
ก่อนอื่นต้องบอกถึงความสำคัญของเทคโนโลยีเครือข่ายสัญญาณสมาร์ทโฟนมือถือรุ่นที่ 5 หรือ 5G กันก่อนเลยว่าได้กลายมาเป็นประเด็นทอร์กออฟเดอะทาวน์ในปัจจุบัน เพราะเนื่องจากมีคุณสมบัติการรับส่งสัญญาณที่จะทวีความเร็วขึ้นกว่า 4G แบบไม่เห็นฝุ่นเลย ส่งผลให้การทำงานไม่ว่าจะเป็นการอัปโหลด/ดาวน์โหลดหรือการใช้งานบนออนไลน์นั้นมีความรวดเร็วกว่าที่เคย รวมถึงยังสามารถสตรีมเนื้อหาบนออนไลน์ขนาดใหญ่และประหยัดพลังงานได้อีกด้วย เพราะโมเด็มที่อยู่ในอุปกรณ์นั้นไม่ต้องทำงานนานนั่นเอง นอกจากนี้ที่สำคัญ เครือข่าย 5G ยังสามารถรองรับปริมาณการใช้งานในพื้นที่เดียวกันได้มากกว่า 4G อีกด้วย ทำให้การใช้งานในสถานที่ที่มีผู้คนเยอะ ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า, สวนสาธารณะหรือไม่จะเป็นสนามกีฬาก็ตามแต่ จะยังสามารถใช้งานได้อย่างไม่มีสะดุด, ความเร็วไม่ลดลง และยังรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่หลากหลาย หรือ IoT (Internet of Things) ได้อีกด้วย รวมถึงนำมาประยุกต์ใช้งานภายในบ้านแทนที่อินเทอร์เน็ตผ่านสายเคเบิลและ DSL ในอนาคต
มองย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของ 3G เมื่อปี 2543 ที่ใช้คู่กับการพัฒนาสู่ 4G และเข้ามาที่ไทยครั้งแรกเมื่อปี 2553 ก็พบว่าระยะเวลาการเกิด 3G มาสู่ 4G นั้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 10 ปี ดังนั้นแล้ว 5G ก็ต้องเกิดขึ้นในปี 2563 นั่นก็คือปีนี้นี่เอง แต่ปรากฏว่า 5G นั้นมาเร็ววกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ในช่วงปี 2561 ที่ผ่านมา เริ่มมีบริษัทโทรคมนาคมและผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) หลายค่าย เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์กับผู้บริโภคแล้ว ประเทศที่นำร่องต้นๆ ของการทดลองใช้ระบบ 5G นั่นก็คือ ประเทศเกาหลี, สวิตเซอร์แลนด์, อิตาลีและจีน หลังจากที่เปิดตัวได้ไม่นาน ก็มีหลายเหตุการณ์ที่น่าสนใจอย่างเกาหลีใต้ หลังจากที่จัดสรรคลื่นความถี่ใช้ระบบ 5G แล้วและมีการลงทุนของโอเปอเรเตอร์ 3 รายของเกาหลีใต้ เพียงเปิดใช้เครือข่าย 140 วัน ก็พบว่ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการกว่า 2 ล้านคนและมีอีกหลายประเทศก็เริ่มหันมาใช้ 5G กันแล้ว นอกจากนี้ เอสเค เทเลคอม หนึ่งผู้ที่ให้บริการด้านระบบโทรคมนาคมรายใหญ่ของประเทศเกาหลี มีลูกค้าประมาณ 28 ล้านคน ภายในระยะเวลา 3 เดือนเศษ มีลูกค้าเพิ่มเป็น 1 ล้านคน เพราะลูกค้ามาใช้บริการ 5G ในประเทศเกาหลี ที่สามารถยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อให้ได้ความเร็วสูง (อัตราการเปลี่ยนความเร็วต่อ 1 หน่วยเวลา), ความหน่วงต่ำและมีความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หลากหลายที่เรียกว่า IoT ได้ดีกว่ายุค 4G อยู่หลายเท่าตัว
5G แรงกว่า Wi-Fi จริงเหรอ??
และแน่นอนว่าหลายคนต่างมีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย หลังจากที่เทคโนโลยีเครือข่าย 5G เข้ามา ว่า “5G จะแรงกว่า Wi-Fi จริงหรือไม่??. คำถามนี้ ก็มีคำตอบอยู่แล้วว่าคือ แรงกว่าในบางบริบท ซึ่งถ้าหากในพื้นที่นั้นๆ มีผู้ใช้งาน Wi-Fi เป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้ความเร็วลดลง ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่การออกแบบ 5G นั้นได้ถูกพัฒนาให้มีการส่งปริมาณข้อมูลในขณะที่มีผู้ใช้งานเยอะได้ดีมากยิ่งขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมยังจะช่วยลดความแออัดของเครือข่ายลงได้อย่างมากอีกด้วย รวมถึงยังได้รับการเชื่อมต่อที่เสถียรและรวดเร็วบนเครือข่าย 5G
นอกจากนี้ 5G นั้นยังเป็นเครือข่ายไร้สายที่พัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยี 4G (LTE) ที่จะทำให้การเชื่อมต่อของอินเทอร์เน็ตนั้นมีความเร็ว ความแรงและมีความเสถียรมากขึ้นกว่าเดิม สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทดีไวท์ อย่าง สมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ IoT ที่ถูกพัฒนาให้ดีกว่า 4G ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่แรงขึ้นถึง 20 เท่า, การตอบสนองต่อคำสั่งที่ไวขึ้น เพราะเนื่องจากมีความหน่วงต่ำ, รองรับย่านความถี่เยอะมากและรองรับจำนวนอุปกรณ์การเชื่อมต่อในพื้นที่ได้ถึง 1 ล้านคนต่อ 1 ตารางกิโลเมตร (ที่รองรับจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า)
จะคุ้มหรือไม่…ถ้าซื้อสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G??
ส่วนสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่เปิดตัวมาพร้อมกับเครือข่าย 5G ไม่ว่าจะเป็น Huawei, Xiaomi, Samsung หรือจะเป็น Nokia ก็ตามแต่ ล้วนรองรับ 5G ทั้งสิ้น บางรุ่นก็วางขายแล้วที่ประเทศไทยไปแล้ว ซึ่งหลายคนก็มีคำถามว่าจะคุ้มหรือไม่ถ้าจะซื้อสมาร์ทโฟนที่รองรับเครือข่าย 5G ที่กำลังดุเดือดอยู่ในขณะนี้ คำตอบคือ คุ้มมากเลยแหละ เพราะนอกจากสมาร์ทโฟนของเราจะได้ทั้งความแรงและความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลแล้ว ยังได้ค่าความหน่วงหรือ latency ที่ต่ำมากอีกด้วย โดยเฉลี่ยของ 4G จะอยู่ประมาณ 30-50 มิลลิวินาที (ms) ในขณะที่ 5G นั้นจะเหลือเพียง 3-5 มิลลิวินาที (ms) หรืออาจจะต่ำกว่านั้น ซึ่งทางเครือข่าย Deutsche Telekom ได้ทำการทดสอบ 5G ไปเมื่อช่วงแรกแล้วผลปรากฏว่าได้ค่าความหน่วงเพียง 3 มิลลิวินาที (ms) เท่านั้นเองจ้า และรวมไปถึงความคมชัดและคุณภาพในการรับชมวีดีโอหรือการเล่นเกมออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถสัมผัสได้ถึงกับคุณภาพความคมชัดและความเร็ว แน่นอนว่าประโยชน์ของ 5G นั้นมีความหลากหลายมากมายซะเหลือเกิน ก็ถือว่าคุ้มมากสำหรับคนที่กำลังมองหาซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อยู่ ก็ควรเลือกซื้อสมาร์ทโฟนแบบรองรับ 5G ไปด้วยเลยก็ดีค่ะ ณ ตอนนี้ ก็มีสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Huawei Mate 30 Pro 5G, Samsung Galaxy S20 Ultra 5G, Xiaomi Mi 10 Pro 5G และรุ่นอื่นๆ ซึ่งหากประเทศไทยนั้นได้เปิดใช้งาน 5G อย่างเป็นทางการแล้ว เชื่อว่าทางผู้จัดจำหน่ายก็อาจจะนำสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G เข้ามาวางขายมากกว่านี้อย่างแน่นอน
ชิปเซ็ตระดับกลางที่รองรับ 5G
ส่วนเจ้าตัว CPU นั้นก็เป็นหัวใจหลักสำคัญมากสำหรับสมาร์ทโฟน จะเร็วจะแรงแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับ CPU เนี๊ยแหละ และงานนี้ชิปเซ็ตก็มาพร้อมกับ 5G อีกด้วย ไม่ว่าจะ Kirin 820 5G, Snapdragon 765G และ Exynos 980 ก่อนอื่นเรามาพูดถึงเจ้าตัวชิปเซ็ต Kirin 820 5G กันก่อนเลย ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร ที่ประกอบไปด้วย 1x Cortex-A76 (ด้วยความแรง 2.36GHz), 3x Cortex-A76 (ด้วยความแรง 2.22GHz) และ 4x Cortex-A55 (ด้วยความแรง 1.84GHz) ซึ่งแน่นอนว่า Kirin 820 5G นั้นจะมีประสิทธิภาพแรงกว่าชิปรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Kirin 810 ราวๆ 27% ส่วน GPU จะใช้เป็น Mali-G57 ที่มีความแรงกว่าเดิมถึง 38%
ในขณะที่คู่แข่งสำคัญของ Kirin 820 5G นั่นก็คือชิปเซ็ต Snapdragon 765G ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรม Kryo 475 ที่ 7 นาโนเมตรเหมือนกัน ที่ประกอบด้วย Cortex-A76 (ด้วยความแรง 2.4GHz) Prime Core, Cortex-A76 (ด้วยความแรง 2.2GHz) Gold Core และ Cortex-A55 (ด้วยความแรง 1.8GHz) 6 Core ส่วน GPU จะเป็น Adreno 620
ในส่วนของชิปเซ็ต Exynos 980 ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมที่ประกอบด้วย 2x Cortex-A77 (ด้วยความแรง 2.2GHz) และ 6x Cortex-A55 (ด้วยความแรง 1.8GHz) ส่วน GPU จะเป็น Mali G76MP5
ในขณะที่ชิปเซ็ต MediaTek ก็มีข่าวว่ากำลังวางแผนที่จะทำชิปเซ็ตที่รองรับ 5G ออกมาขายเร็วๆ นี้ ที่มีชื่อเรียกว่า MediaTek Dimensity 1000 เป็นชิปเซ็ตที่จะวางอยู่ในรุ่นเรือธง เอาเป็นว่าเราคงต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าจะมีรุ่นไหนที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดและในราคาระดับกลาง รวมถึงรองรับเครือข่าย 5G กันบ้าง ยังไงต้องรอลุ้นกันอีกที
บทสรุป
มาถึงตอนสุดท้ายกันแล้ว ซึ่งเราก็ได้รู้กันแล้วว่าเทคโนโลยี 5G นั้นจะไม่ใช่เป็นเรื่องของอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการประยุกต์ใช้งานภายในบ้านแทนที่อินเทอร์เน็ตผ่านสายเคเบิลและ DSL ในอนาคต, รถยนต์ไร้คนขับ, การผ่าตัดได้จากระยะไกล, หุ่นยนต์จากโรงงาน ซึ่งสิ่งเหลานี้จะแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ก็ถือว่ามีความเร็วกว่าเทคโนโลยี 4G เป็นอย่างมาก รวมถึงยังช่วยให้เกิดการใช้งาน AR และ VR ในกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังสามารถอัปโหลด/ดาวน์โหลดหรือสามารถใช้งานบนออนไลน์ที่มีความรวดเร็วกว่าที่เคยและยังสามารถสตรีมเนื้อหาบนออนไลน์ขนาดใหญ่ รวมถึงประหยัดพลังงานได้อีกด้วย เห็นกันแล้วใช่มั้ยล่ะว่าประโยชน์ของ 5G นั้นเยอะแยะมากมายก่ายกองเลยทีเดียว ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องความคุ้ม แน่นอนว่าคุ้ม!!! เพราะเราจะได้สัมผัสกับความเร็วและความแรงก่อนใคร แถมราคาสมาร์ทโฟนในระดับกลางที่มาพร้อมกับ 5G นั้น ก็มีราคาที่ไม่แพงรวมถึงยังได้ใช้อินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Huawei, Samsung, realme, OPPO, Vivo, Honor และ Xiaomi แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับคนที่ต้องการอยากจะเล่นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับ 5G อดใจรอโปรโมชั่นกันซักหน่อย เพราะอาจจะมีทั้งลดค่าเครื่องและรายเดือน ที่เป็นโปรพ่วงมากับสมาร์ทโฟน 5G นะจ๊ะ
นำเสนอบทความโดย : StepGeek.TV