อ้าวล่ะจ้าหลังจากที่ทาง Samsung เขาได้ประกาศเปิดตัวหูฟังไร้สายอย่าง Galaxy Buds+ ไปเรียบร้อยแล้ว เป็นรุ่นที่ได้รับการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Samsung Galaxy Buds ซึ่งการอัปเกรดในครั้งนี้ไม่ใช่ขยายขนาดให้ดูใหญ่ขึ้นนะ แต่เน้นในเรื่องการปรับปรุงเสียงให้ดีขึ้นและปรับปรุงเรื่องแบตเตอรี่ให้สามารถใช้งานได้นานมากขึ้นนั้นเอง แน่นอนเมื่อเรารู้ว่า Galaxy Buds+ ได้มีการอัปเกรดอย่างมากมาย เราก็ไม่พลาดนะจ๊ะที่นำเจ้าตัวกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวไซส์ขนาดกะทัดรัด หยิบกลับมารีวิวเพื่อให้ทุกคนได้ดู ได้รู้ ได้ประโยชน์ของเจ้า Galaxy Buds+ อีกด้วย บอกได้เลยว่าใครที่ยังไม่รู้ถึงประโยชน์ของมันหรือยังไม่รู้ว่ามันแตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างไร ต้องอย่าพลาดเด็ดขาด เพราะวันนี้เราจะหยิบตัวฟีเจอร์ที่ทาง Samsung ได้ปรับปรุงใหม่แถมดีกว่าเดิมอีกด้วยนะ พร้อมพูดถึงเรื่องใช้งานของ Galaxy Buds+ ที่บอกเลยว่าสะดวกสบายมากและง่ายต่อการใช้งานจริงๆ ซึ่งบทความนี้อาจจะยาวหน่อย แต่ขอบอกว่ามีประโยชน์ต่อการตัดสินใจซื้อนะค่ะทุกคน
การดีไซน์ตัวกล่องชาร์จ Galaxy Buds+
ว้าววววววแว๊ปแรกที่เปิดกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวออกมานี่ สิ่งแรกที่เห็นเลยกล่องชาร์จ Galaxy Buds+ ที่ดูคล้ายเหมือนกับเม็ดยาสีขาวประจำบ้านเลยนะเนี๊ย ฮ่าๆๆ ซึ่งทาง Samsung เขาทำออกมาเป็นทรง Capsule เหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Galaxy Buds แต่ Galaxy Buds+ อาจจะดูเล็กลงอยู่นิดหน่อย พร้อมมีโลโก้ Samsung Sound By AKG ซึ่งก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่องการดีไซน์และการใช้งานของหูฟังไร้สาย Galaxy Buds+ นั้น ขอพูดถึงเรื่องกล่องของ Galaxy Buds+ ที่เป็นทรง Capsule ก่อนนะจ๊ะ
ซึ่งการดีไซน์ออกแบบของกล่อง Galaxy Buds+ จะมีความมันๆ วาวๆ วิบๆ วับๆ หน่อย ถ้าเทียบกับรุ่นที่แล้วก็จะมีความด้านๆ หน่อย ด้านนี่หมายถึงผิวบอดี้ของกล่องชาร์จนะจ๊ะไม่ใช่หน้า แฮร่!!! ส่วนด้านหน้าของกล่องก็มีจะไฟแสดงสถานะของตัวกล่องชาร์จ ว่าตอนนี้เหลือแบตเตอรี่เท่าไหร่แล้ว ซึ่งเราจะรู้เลยว่า เราจะสามารถใช้งานได้นานเท่าไหร่ แถมยังรองรับการชาร์จแบบ Wireless Charging อีกด้วยหรือจะชาร์จผ่านพอร์ต USB Type-C ก็ได้ที่ด้านหลัง
หูฟัง Galaxy Buds+
ส่วนขนาดของหูฟัง Galaxy Buds+ นั้นจะมีขนาดใกล้เคียงหรือเท่าๆ กับรุ่นก่อนหน้านี้ทุกอย่างเลย ซึ่งพูดกันจริงๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยนะเหมือนจะฝาแฝดกันด้วยซ้ำ มีขนาดที่กะทัดรัด ไม่ใหญ่ ไม่เล็กจนเกินไป เมื่อเราใส่ Galaxy Buds+ เข้าไปในหูแล้วจะรู้สึกได้เลยว่า มันจะแนบไปกับหูของเราเลย และอย่างที่บอกไปตั้งแรกเลยนะว่าในรุ่น Galaxy Buds+ นั้นเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจาก Galaxy Buds ซึ่งเขาได้ปรับปรุงคุณภาพของเสียง ด้วยตัวชุดลำโพงที่อยู่ด้านในหูฟังได้มีการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ ซึ่งจากเดิมเป็น One way dynamic ก็เปลี่ยนมาเป็น Two way Dynamic แล้วจ้า ซึ่งแน่นอนว่าเราจะได้พลังเสียงของ Woofer และ Tweeter อยู่ในหูฟังของแต่ละข้างอีกด้วย
Samsung แก้ปัญหา และพัฒนาได้ดีขึ้น
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะ ซึ่งหลายคนก็ยังคงจำกันได้ว่าเคยมีประเด็นสำหรับผู้ที่ซื้อ Galaxy Buds รุ่นก่อนหน้านี้ไป…แล้วมีปัญหาในเรื่องตัวไมโครโฟนที่ทำงานได้ไม่ค่อยจะดีนัก แล้วคู่สนทนาก็ฟังเสียงไม่ชัดสักเท่าไหร่ งานนี้ทาง Samsung เขาจัดมาให้แล้วนะจ๊ะ ด้วยการเพิ่มตัวไมโครโฟนเข้าไปอีก และในตัว Galaxy Buds+ แต่ละข้างนั้นก็จะมีจำนวนไมโครโฟนที่มากกว่า 3 ตัว ที่ประกอบไปด้วย Inner Mic 1 ตัว และ Outer Mic 2 ตัว ซึ่งจะสามารถควบคุมระบบ Ambient sound ได้อีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังกันอีกทีนะ
Ambient sound ของ Galaxy A51
กลับมาต่อกันที่ตัวหูฟัง Galaxy Buds+ นั้นจะมีความแตกต่างจากรุ่นเดิมอยู่นิดหน่อย ด้วยการเพิ่มสิ่งใหม่เข้ามานั้นก็คือ มีการเพิ่มไมโครโฟนด้านนอกมาทั้งหมด 2 ตัวด้วยกัน ซึ่งไมโครโฟนด้านนอกนั้นมีประโยชน์นะจ๊ะ นั้นก็คือ Ambient sound หรือใช้กับเสียงรอบข้าง บางคนยังงงอยู่ว่ามันคืออะไร จะบอกให้ฟังแบบง่ายๆ เลยนะว่า เมื่อเราอยู่ข้างนอกที่เต็มไปด้วยเสียงรอบๆ ข้าง แล้วเราฟังเพลงไปด้วยก็จะสามารถได้ยินเสียงรอบข้างกว่าเดิมนั้นเองจ๊ะ และหูฟังของอินเอียร์ข้อดีของมันก็คือจะสามารถตัดเสียงรบกวนรอบข้างออกได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งบางคนอาจจะชอบ แต่บางคนอาจจะไม่ชอบสักเท่าไหร่ เพราะถ้าตัดเสียงรอบข้างออกไปทั้งหมด เมื่อเราเดินอยู่ข้างนอกเราจะไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอะไรเลยทั้งสิ้น
ด้านในกล่อง Galaxy Buds+ มีอะไรบ้าง!!!
- กล่องชาร์จ Galaxy Buds+ สีขาว
- ตัวหูฟัง Galaxy Buds+ สีขาว
- สายชาร์จ USB Type-C
- จุกยางซิลิโคน ไว้สำหรับเปลี่ยนมีทั้งหมด 3 ขนาด (มีทั้งจุกยางอินเอียร์/วงแหวนยาง Wing Tip)
- คู่มือในการใช้งาน
วีธีการใช้งานระหว่าง Galaxy Buds+ และสมาร์ทโฟน (สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง iOS และ Android)
และวิธีการใช้ Galaxy Buds+ ถ้าต้องการเปิด-หยุดชั่วคราวในการเล่นเพลงหรือเล่นวีดีโอให้แตะ 1 ครั้ง ถ้าแตะสั้นๆ 2 ครั้ง จะเป็นการเปลี่ยนเพลง และถ้าแตะสั้นๆ 3 ครั้ง จะเป็นการเล่นเพลงก่อนหน้านี้ และอีกหนึ่งสิ่ง เมื่อเราแตะหรือกดค้างไว้ เราจะสามารถเลือกใช้งานบนเมนูได้เลย นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นใหม่สำหรับ Galaxy Buds+ ด้วยการเปิดใช้งาน Spotify ซึ่งตัวหูฟัง Galaxy Buds+ จะสามารถเชื่อมต่อกับแอป Spotify ในสมาร์ทโฟน เพียงแค่กดค้างไว้ เพลงก็จะเริ่มเล่นในทันที โดยไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดหรือควบคุมอะไรใดๆ ทั้งสิ้นอีกต่อไป ซึ่งก็เป็นอีกฟังก์ชั่นสำหรับ Galaxy Buds+ นั้นเอง
แบตเตอรี่ Galaxy Buds+
เมื่อพูดถึงเรื่องไมโครโฟนที่พัฒนาและปรับปรุงไปเรียบร้อยแล้ว ต่อไปจะพูดถึงเรื่องขนาดของแบตเตอรี่กันบ้าง ที่ทาง Samsung ได้เคลมว่า สามารถฟังได้ต่อเนื่องยาวถึง 11 ชั่วโมงเลยทีเดียว อู้ววววววหู้ววววว ของมันต้องมีแล้วมั้งถ้าจะสามารถใช้งานได้นานขนาดนี้ แต่ขอบอกก่อนนะว่าในรุ่นก่อนหน้านี้สามารถฟังได้ต่อเนื่องเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้นเองนะ ก็ถือว่าเขาปรับปรุงเรื่องแบตเตอรี่ได้ดีเลยทีเดียวเชียวแหละ แถมระยะเวลาในการชาร์จก็สั้นลงอีกต่างหาก เพียงถอดหูฟัง Galaxy Buds+ ออกจากหูของเราแล้วเสียบชาร์จในกล่องทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที จะสามารถใช้งานได้นานอีก 1 ชั่วโมง แต่ต้องชาร์จทิ้งไว้ 9 นาที ก็สามารถฟังได้ 1 ชั่วโมงเหมือนกัน แต่ต่างกันระยะเวลาในการชาร์จ ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าหลายคนต้องภูมิใจในสิ่งนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่า Samsung ทำออกมาได้ดีจริงๆ นะจ๊ะ เอาเป็นว่าเมื่อเทียบกับ Galaxy Buds แล้วล่ะก็….คนละเรื่องเลยนะจ๊ะ อ่ะๆ ยังไม่หมดนะ ยังได้ปรับปรุงแบตเตอรี่ที่อยู่ในกล่องชาร์จที่สามารถใช้งานได้นานถึง 22 ชั่วโมง เห้ยยยยมันดีนะ ชาร์จข้ามวันข้ามคืนกันไปเลย ใช้ยังไงก็ไม่หมด
Galaxy Buds+ สามารถใช้งานได้ทั้งระบบ iOS และ Android
นอกจากนี้ เรายังสามารถดูระดับของแบตเตอรี่ของกล่องชาร์จได้แล้วนะจ้า โดยดูผ่านแอปพลิเคชั่นได้เลย ใช้งานง่าย คล่องมือด้วยนะ เพียงแค่เปิดฝากล่องชาร์จของ Galaxy Buds+ ขึ้นมาเพียงไม่ถึงวินาทีก็สามารถกดเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟนและ Galaxy Buds+ ได้ในทันที กรี๊ดดดดดดมาก ไวเวอร์จริงๆ จากนั้นหูฟังจะถูกควบคุมผ่านเมนูที่ชื่อว่า Samsung Variable อ่ะๆๆๆๆ แต่เดี๋ยวก่อนนะ อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า “อ้าวแล้วถ้าไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟนของค่าย Samsung ล่ะ จะสามารถใช้งานได้ไหม” คำถามนี้ตัดออกไปจากชีวิตได้เลยนะจ้า เพราะงานนี้รองรับสมาร์ทโฟนได้ทุกรุ่นที่ใช้ระบบ Android ก็สามารถลงแอปพลิเคชั่นได้เลย และสามารถใช้งานในฟังก์ชั่นทุกอย่างที่อยู่ใน Galaxy Buds+ ได้เหมือนกับคนที่ใช้สมาร์ทโฟน Samsung เลย เป็นไงล่ะ Samsung ไม่มีกักนะจ๊ะ ใจกว้างเหมือนแม่น้ำเชียวแหละ ยังไม่หมดนะอีกสิ่งหนึ่งไม่พูดก็ไม่ได้จริงๆ สำหรับคนที่ใช้ iPhone หรือระบบ iOS ก็สามารถใช้งาน Galaxy Buds+ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเหมือนกับสมาร์ทโฟน Android โดยสร้างแอปพลิเคชั่นสำหรับ Buds+ โดยเฉพาะ อ๊าเริศอ่ะ!!!! โดยใช้ชื่อว่า Galaxy Buds+ ตรงตัวตามชื่อเลยจ้า
สามารถควบคุมระดับเสียงได้ (ต่ำ-กลาง-สูง)
และเมื่อเข้ามาในแอปพลิเคชั่นกันแล้ว เราจะเห็นได้เลยว่ามีการโชว์สถานะแบตเตอรี่ของหูฟังแต่ละข้างและแบตเตอรี่ของกล่องชาร์จ Galaxy Buds+ ซึ่งจะแสดงอกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ ให้เราได้เห็นเลยว่าจะสามารถใช้งานได้อีกที่ชั่วโมงนั้นเอง แถมเรายังสามารถควบคุมระบบ Ambient sound หรือควบคุมระดับเสียงภายนอกได้อีกด้วย บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าควบคุมระบบเสียงนอกยังไง เอางี้มันก็คือ เราสามารถควบคุมเสียงจากภายนอกปล่อยเข้ามาที่หูฟังให้เราได้ยินที่สามารถเลือกได้ในระดับต่ำ, กลางและสูงก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการและการปรับของเรานั้นเอง ซึ่งการปรับระดับให้อยู่ในระดับต่ำจะสามารถได้ยินเสียงรอบข้างได้ในระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงกับมากจนหนวกหู แต่ถ้าปรับอยู่ในระดับกลางก็จะได้ยินเสียงรอบข้างดังขึ้นมาอีกหน่อย ในขณะที่เราเดินอยู่ข้างนอก ส่วนระดับสุดท้ายคือเปิดในระดับสูง ซึ่งระดับนี้บางคนอาจจะไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่ เพราะจะได้ยินเสียงรอบข้างมากจนเกินไป แต่กลับบางคนก็ชอบที่จะเลือกระดับนี้นะ เอาเป็นว่าก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ก็แล้วกันว่าต้องการให้อยู่ในระดับไหนนะ
ราคาขาย Galaxy Buds+
ส่วนความสามารถกันน้ำกันเหงื่อ ที่ใครหลายต่างก็มีความเห็นเหมือนกันนั้นก็คือ อยากจะให้ทาง Samsung นั้นปรับปรุงเรื่องนี้สักหน่อย แต่ก็น่าเสียดายทาง Samsung ก็ไม่ได้ปรับปรุงในเรื่องนี้มา แต่สามารถกันน้ำกันเหงื่อได้ในระดับ IPX2 และยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ทาง Samsung ยังไม่ได้ปรับปรุงนั้นก็คือ Active Noise cancelling แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ทาง Samsung ยังรักษารูปลักษณ์ของ Galaxy Buds+ ให้มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา ยัดขนาดของแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน แถมเรื่องราคานี่ไม่ต้องพูดถึงราคาประหยัดมากกว่ารุ่นที่มี Active Noise cancelling เป็นอย่างมากในราคาเพียง 4,990 บาท
บทสรุปกับคำว่า “ของมันต้องมี”
อ้าวล่ะ ก็มาถึงบทสรุปกันอีกเช่นเคย ก็อย่างที่บอกนั้นแหละ ว่าของมันต้องมี เพราะด้วยครั้งนี้ Galaxy Buds+ ได้รับการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้านี้ได้ดีกว่ามาก แถมยังยัดขนาดแบตเตอรี่เข้าไปเพิ่มอีกที่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง 11 ชั่วโมงเลยทีเดียว บอกได้เลยว่าความอึดของแบตเตอรี่ถือว่ามากที่สุดในตลาดเลยก็ว่าได้ พร้อมการปรับปรุงคุณภาพเสียงของ Galaxy Buds+ ที่ดีขึ้นนั้น ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนก็ถือว่าทาง Samsung ทำออกมาได้เป็นอย่างดีเชียวแหละและดีกว่ารุ่นก่อนอย่างแน่นอนและไมโครโฟน 2 ตัวที่อยู่ด้านนอกก็สามารถรับเสียงข้างนอกได้ดีขึ้น / ตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้ดีขึ้น และทำให้ได้ยินเสียงดังขึ้น/ชัดขึ้นในขณะที่คุยโทรศัพท์ แต่ถึงแม้ว่าขนาดของตัวเครื่องหรือตัวกล่องจะมีขนาดที่เท่าเดิมก็ตามแต่ ก็มองกันที่ความอึด ความสวย ความเป็นเอกลักษณ์และการใช้งานของเขาจะดีกว่านะจ๊ะ แถมราคาก็เท่ากับรุ่นเดิมจ่ายเพียง 4,990 บาท แต่ได้รับการอัปเกรดใหม่เกือบจะทุกอย่างให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมนะจ๊ะ ข้อนี้แหละถึงบอกว่า “ของมันต้องมี”