หลังจากเปิดตัว iPhone SE (2020) ก็มีกระแสทั้งเรื่องการออกแบบ, หน้าจอ, ชิปเซ็ตและราคาขาย แน่นอนว่ามีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งเราไม่สามารถไปคิดแทนคนอื่นได้ ล่าสุด มีรายงานจากแหล่งข่าวหนึ่ง ได้เผยว่า iPhone SE (2020) ทำได้ แต่สมาร์ทโฟนกลุ่ม Android ทำไม่ได้ โดยเฉพาะการนำชิประดับเรือธงมายัดใส่บนสมาร์ทโฟนระดับกลางอย่าง iPhone SE (2020) แถมราคายังประหยัดอีกด้วย
iPhone SE (2020) มาพร้อมกับชิปเซ็ต A13 Bionic ที่ใช้ชิปเดียวกับระดับเรือธงอย่าง iPhone 11 series แถมราคาขายก็ถูกกว่าอีกด้วยเพียง 399 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 13,000 บาท (แต่บ้านเราขาย 14,900 บาท ซึ่งราคาแต่ละประเทศ/ภูมิภาคจะแตกต่างกัน) แต่เราจะไม่เคยเห็นสมาร์ทโฟนในกลุ่ม Android ที่มาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 865 ในราคาที่ถูกเลย อย่าง Samsung Galaxy S20 Ultra เป็นรุ่นเรือธงระบบไฮเอนด์ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 865 ซึ่งทุกคนก็เห็นราคากันอยู่แล้วว่าราคาเท่าไรถ้าเทียบกับ iPhone SE (2020) ดูยังไงก็ถูกกว่าอยู่ดี แถมยังได้ชิปเซ็ตระดับเรืงธงมาใส่ในสมาร์ทโฟนระดับกลางอีกด้วย
iPhone SE (2020) มาพร้อมกับ iOS 13 และจะได้รับการอัปเดตเป็น iOS 14 ในช่วงปลายปีนี้ และในปีหน้าก็จะได้รับการอัปเดตเป็น iOS 15 ซึ่งผู้ที่ใช้ iPhone นั้นจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์หรือ iOS ได้อีกยาวนานและจะได้รับการอัปเดตได้มากกว่า iOS 17 ถือว่าข้อนี้ได้เปรียบกว่าสมาร์ทโฟน Android เพราะ Android จะได้รับการอัปเดตประมาณ 2-3 เวอร์ชั่นเท่านั้น
และอีกหนึ่งสิ่งที่นอกจากจะมีประสิทธิภาพที่แรงกว่าสมาร์ทโฟน Android แล้ว iPhone SE (2020) ยังมาพร้อมกับการออกแบบที่ทำให้คนส่วนใหญ่ (เฉพาะที่ต่างประเทศเท่านั้น ไม่รวมคนไทย) นิยมใช้สมาร์ทโฟนที่มีขนาดตัวเครื่องกะทัดรัด ไม่ใหญ่และพกพาง่าย ซึ่งแน่นอนว่า iPhone SE (2020) ถือว่าได้รับความนิยมมากที่สุด ถ้าเทียบกับสมาร์ทโฟน Android แล้ว ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ตระดับเรือธงจะมาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ ที่ทำให้คนไทยหลายคนส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้หน้าจอขนาดใหญ่กว่าขนาดเล็ก
นอกจากนี้ iPhone SE (2020) ก็ยังคงมีจุดอ่อนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกล้องตัวเดียวที่ตอนนี้ค่ายอื่นมีไปถึง 5 ตัวแล้ว ที่รองรับการถ่ายภาพได้หลากลาย, หน้าจอและสมาร์ทโฟนที่ไม่รองรับเชื่อมต่อ 5G ซึ่งทาง Apple นั้นยังไม่พร้อมที่จะนำ iPhone SE (2020) เข้าสู่ตลาด 5G เพราะด้วยราคาที่ประหยัด ขายเพียง 399 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 13,000 บาท (ราคาอิงจากตามรายงาน) จึงทำให้ทาง Apple ยังไม่สนใจ 5G นั่นเอง
นำเสนอข่าวโดย : StepGeek.TV
ที่มา : zdnet