อย่างที่ทราบกันดีว่าทาง Apple ได้เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max ก็ต้องบอกเลยว่า iPhone รุ่นใหม่มีกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยทาง Apple ได้มีการอัปเดตประสิทธิภาพให้แก่ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max ใหม่หลายเรื่องด้วยกัน โดยในวันนี้ทางทีมงาน StepGeek.TV ก็มีโอกาสได้สัมผัสเครื่อง iPhone 11 Pro Max เป็นกลุ่มแรก ก็เลยไม่พลาดที่จะพรีวิวตัวเครื่อง พร้อมทดสอบกล้อง กับผลคะแนน AnTuTu Benchmark แบบคร่าวๆ มาฝากให้ทุกท่านได้รับชมกัน หากพร้อมกันแล้ว ขอเชิญรับชมกันได้เลยครับ
สเปกเครื่องแบบคร่าวๆ ของ iPhone 11 Pro Max
– ดีไซน์แบบ
– ตัวเครื่องทนน้ำถึงระดับ
– หน้าจอแสดงผลแบบ OLED Super Retina XDR ความละเอียด 2688×1242 พิกเซล ขนาด 6.5 นิ้ว มีอัตราส่วน
– ชิปเซ็ต Apple A13
– หน่วยความจำภายในขนาด 64GB / 256GB / 512GB
– กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.2) พร้อมถ่ายวิดีโอ Slofie ได้
– กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ 3 เลนส์ (Triple-Camera) โดยกล้องตัวแรกความละเอียดแบบ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.0) ตัวที่สองแบบ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8) ตัวที่สามแบบ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4) พร้อมกันสั่น OIS, รองรับโหมด Portrait สามารถ Detect ได้มากกว่าหน้ามนุษย์, มีกันสั่นการถ่ายวิดีโอ และมีโหมดถ่ายภาพกลางคืน
– ถ่ายวิดีโอได้ที่ 4K Ultra HD (60fps) และใช้เลนส์มุมมองกว้างได้
– รองรับระบบสแกนใบหน้า (Face ID)
– รองรับ WiFi 6 พร้อมรองรับซิมคู่ (Nano-SIM และ eSIM)
– ลำโพงคู่ พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
– แบตเตอรี่ใช้ได้นานกว่ารุ่นเดิม 5 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone XS Max พร้อมรองรับการชาร์จเร็วแบบ 18W และรองรับการชาร์จไร้สาย
– มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ เงิน, เขียว, เทา และทอง
พรีวิว iPhone 11 Pro Max
สำหรับ iPhone ที่จะมาพรีวิวให้ทุกท่านได้รับชมกันในวันนี้คือรุ่น 11 Pro Max
ขนาดความจุ 256GB
มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ OLED Super Retina XDR ความละเอียด 2688×1242 พิกเซล ขนาด 6.5 นิ้ว
มีอัตราส่วน
ด้านหน้าส่วนบนมีกล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.2) พร้อมถ่ายวิดีโอ Slofie ได้ และเซ็นเซอร์ต่างๆ
ด้านบนไม่มีฟังก์ชันใดๆ ให้ใช้งาน
ด้านล่างมีลำโพงเสียงภายนอก, ช่องเชื่อมต่อกับสาย Lighting สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือโอนถ่ายข้อมูล และไมโครโฟน
ด้านซ้ายมีปุ่มปิดเสียง, ปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง และถาดซิมการ์ด
ด้านขวาปุ่มเปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอ
ด้านหลังมีกล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ 3 เลนส์ (Triple-Camera) โดยกล้องตัวแรกความละเอียดแบบ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.0) ตัวที่สองแบบ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8) ตัวที่สามแบบ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4) พร้อมกันสั่น OIS, รองรับโหมด Portrait สามารถ Detect ได้มากกว่าหน้ามนุษย์, มีกันสั่นการถ่ายวิดีโอ และมีโหมดถ่ายภาพกลางคืน อีกทั้งถ่ายวิดีโอได้ที่ 4K Ultra HD (60fps) และใช้เลนส์มุมมองกว้างได้
ทดสอบผ่านแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark จะได้คะแนนอยู่ที่ 458362 คะแนน ซึ่งถือเป็นคะแนนที่สูงเป็นอย่างมาก
ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 13
โหมดถ่ายภาพกลางคืนจะมีไอคอนพระจันทร์เสี้ยวขึ้น พร้อมตัวเลขนับถอยหลังขณะถ่ายภาพ
ภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัลด้านหลังผ่านโหมดถ่ายภาพกลางคืน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait จากกล้องดิจิทัลด้านหน้า
มาพร้อมกับชิปเซ็ตใหม่ Apple A13 Bionic
อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่า การเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ทาง Apple ก็จะมีการนำชิปเซ็ตตัวใหม่ใส่เข้ามาด้วยเช่นกัน ซึ่งในครั้งนี้ก็เป็น Apple A13 Bionic ซึ่งเป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุดที่ทาง Apple เครมเอาไว้ว่า สามารถประมวลผลได้รวดเร็วขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่าง A12 Bionic ถึง 20% และประหยัดพลังงานได้มากขึ้นถึง 30% เรียกได้ว่า ปรับปรุง และพัฒนามาเพื่อผู้บริโภคให้ใช้งานได้ดีขึ้น และนานขึ้นอย่างแท้จริง
นอกจากจะพัฒนาด้านชิปเซ็ตแล้ว ทางด้านกล้องถ่ายภาพถึงแม้จะไม่ได้อัปเกรดอะไรมากนัก แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย โดยมาเริ่มกันที่กล้องดิจิทัลด้านหลังที่มีการปรับดีไซน์กล้องแบบใหม่ที่มีมาให้ 2 เลนส์ (Dual-Camera) สำหรับในรุ่น iPhone 11 คือ กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบคู่ (Dual-Camera) ตัวแรกความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8) ตัวที่สองแบบ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4) พร้อมกันสั่น OIS, รองรับโหมด Portrait สามารถ Detect ได้มากกว่าหน้ามนุษย์, มีกันสั่นการถ่ายวิดีโอ และมีโหมดถ่ายภาพกลางคืน
ส่วน iPhone 11 Pro กับ iPhone 11 Pro Max จะเป็นแบบ 3 เลนส์ (Triple-Camera) กล้องดิจิทัลด้านหลังแบบ 3 เลนส์ (Triple-Camera) โดยกล้องตัวแรกความละเอียดแบบ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.0) ตัวที่สองแบบ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8) ตัวที่สามแบบ Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4) พร้อมกันสั่น OIS, รองรับโหมด Portrait สามารถ Detect ได้มากกว่าหน้ามนุษย์, มีกันสั่นการถ่ายวิดีโอ, สามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K Ultra HD แบบ 60fps และมีโหมดถ่ายภาพกลางคืน
โดยสิ่งที่ Apple นั้นนำเสนอเรื่องการถ่ายภาพของ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max คือ การเน้นถ่ายภาพมุมมองกว้างผ่านเลนส์ Ultra-Wide อีกทั้งยังมีการอัปเกรดด้านโหมดถ่ายภาพ Portrait โดยจะสามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้หลากหลายมากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่จะถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้เฉพาะบุคคลเพียงอย่างเดียว และสุดถ่ายคือ มีการใส่โหมดถ่ายภาพกลางคืนมาให้เสียที ส่วนการถ่ายภาพจะเป็นอย่าง คงจะต้องกันในอนาคตหากมีเครื่องมาได้ทดสอบ
ในส่วนของกล้องดิจิทัลด้านหน้าอัปเกรดใหม่ด้วยเช่นกัน โดยเพิ่มความละเอียดเป็น 12 ล้านพิกเซล ซึ่งมีรูรับแสง F/2.2 แต่สิ่งที่พิเศษไปกว่านั้น คือ กล้องดิจิทัลด้านหน้าสามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K Ultra HD แบบ 60fps ซึ่งนับได้ว่าเป็นมือถือรุ่นแรกที่ทำได้ ณ ชั่วโมงนี้ เลยทีเดียว อีกหนึ่งฟังก์ชันคือ กล้องดิจิทัลด้านหน้ายังรองรับการถ่ายวิดีโอ Slow Motion ได้อีกด้วย ซึ่งทาง Apple ได้ตั้งชื่อฟังก์ชันนี้ว่า Slofie
นอกจากนี้ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max สามารถรับการเชื่อมต่อ WiFi 6 ได้ นั่นหมายความว่า จะรองรับอินเทอร์เน็ตได้สูงสุดถึง 10Gbps เลยทีเดียว อีกทั้งตัวเครื่องยังเป็นกระจกที่มีความแข็งแกร่งมาดยิ่งขึ้นกว่าเดิม และสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 4 เมตร นาน 30 นาที อีกด้วย แต่เฉพาะ iPhone 11 ที่กันน้ำลึกได้เพียง 2 เมตร ตามมาตรฐาน IP68 ทั้ง 3 รุ่น
iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max ยังได้รับการอัปเกรดในเรื่องของระบบสแกนใบหน้าที่ทำงานได้ขึ้นกว่าเดิมถึง 30% อีกทั้งยังรองรับการใช้งานได้ 2 ซิมการ์ด ทั้ง 3 รุ่น คือแบบ nanoSIM กับ eSIM
ในซีรี่ย์นี้ทาง Apple ได้มีสีให้เลือกมากมาย
- iPhone 11 มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ ม่วง, เขียวอ่อน, เหลือง, ขาว, ดำ และแดง
- iPhone 11 Pro มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ เงิน, เขียว, เทา และทอง
- iPhone 11 Pro Max มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ เงิน, เขียว, เทา และทอง
ด้านของหน้าจอแสดงผลก็จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย โดย iPhone 11 นั้นจะใช้หน้าจอแสดงผลแบบ Liquid Retina HD พร้อมขนาด 6.1 นิ้ว ส่วนทางด้าน iPhone 11 Pro ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ Super Retina XDR ขนาด 5.8 นิ้ว และ iPhone 11 Pro Max ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว
และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ หน้าจอแสดงผลของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะมีความพิเศษกว่าตรงที่มีคอนทรานต์ 2,000,000 : 1 ซึ่งจะช่วยให้หน้าจอนั้นสามารถแสดงระดับสีต่างๆ ออกมาได้ครบ
นอกจากนี้ แบตเตอรี่ของทั้ง 3 รุ่น ยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- แบตเตอรี่ใช้ได้นานกว่ารุ่นเดิม 1 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone XR พร้อมรองรับการชาร์จเร็วแบบ 18W และรองรับการชาร์จไร้สาย
- แบตเตอรี่ใช้ได้นานกว่ารุ่นเดิม 4 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone XS พร้อมรองรับการชาร์จเร็วแบบ 18W และรองรับการชาร์จไร้สาย
- แบตเตอรี่ใช้ได้นานกว่ารุ่นเดิม 5 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ iPhone XS Max พร้อมรองรับการชาร์จเร็วแบบ 18W และรองรับการชาร์จไร้สาย
อีกหนึ่งความพิเศษคือ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max ยังรองรับการชาร์จเร็วแบบ 18W พร้อมกับแถมชุดอุปกรณ์ที่รองรับการภายในแพ็กเกจอีกด้วย ยกเว้น iPhone 11 ที่ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม
ซื้อก่อนใช้ก่อน!? Apple ประกาศลดราคา iPhone Xr และ iPhone 8 / 8Plus ลง กว่า 8000 บาท !!
ราคาเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
- ราคา iPhone 11 (รุ่นต่อยอดมาจาก iPhone Xr)
- 64 GB ราคา 24,900 บาท
- 128 GB ราคา 26,900 บาท
- 256 GB ราคา 30,900 บาท
- ราคา iPhone 11 Pro (รุ่นต่อยอดจาก iPhone Xs)
- 64GB ราคา 35,900 บาท
- 256GB ราคา 41,900 บาท
- 512GB ราคา 48,900 บาท
- ราคา iPhone 11 Pro Max (รุ่นต่อยอดจาก iPhone Xs Max)
- 64GB ราคา 39,900 บาท
- 256GB ราคา 45,900 บาท
- 512GB ราคา 52,900 บาท
สรุปส่งท้าย
เปิดตัว iPhone 11 / 11 Pro / 11 Pro Max ดีไหม ขายถูกลงกว่าเดิม 5000 นะคุณ
พรีวิวเครื่องจริง iPhone 11 Pro Max สีเขียว มือถือที่แรงที่สุดในโลก พร้อมกล้องสามตัวไข่มุกดำ
จบลงไปแล้วนะครับ สำหรับการพรีวิว iPhone 11 Pro Max ซึ่งจากการแถลงข่าวเปิดตัวที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่า iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max นั้นน่าสนใจ และสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่แฟนไม่น้อย แต่อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงข้อมูลส่วนหนึ่งที่มีอยู่บน iPhone 11 Pro Max หากมีโอกาส ทางเราจะนำ iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max มารีวิวแบบจัดเต็มให้ทุกท่านได้รับชมกันอย่างละเอียดแน่นอนครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ส่วน iPhone 11, iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max จะวางจำหน่ายในบ้านเราเมื่อไหร่นั้น คงต้องรอทาง Apple ประกาศอีกครั้ง สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่โอกาสหน้า สวัสดีครับ
นำเสนอบทความโดย : StepGeek.TV
ที่มา : Apple