ใครๆ ก็รู้อยู่ว่าหัวเว่ยกับทางฝั่งรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงมีสงครามการค้ากันอยู่และดูเหมือนว่าจะไม่จบลงไปง่ายๆ สงครามนี้ยังคงอีกยาวนาน อีกทั้งการเปิดตัวของ Huawei P50 Series ก็เลื่อนการเปิดตัวออกไป จนมาถึงเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา หัวเว่ยก็ได้ประกาศเปิดตัว หัวเว่ย P50 Series อย่างเป็นทางการแล้วที่ประเทศจีน
มีด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Huawei P50 และ P50 Pro แต่สมาร์ตโฟนเรือธงเหล่านี้ไม่รองรับการเชื่อมต่อ 5G ซึ่งก็ต่างจากสมาร์ตโฟนเรือธงระดับพรีเมี่ยมอื่นๆ ในท้องตลาด

ล่าสุด มีรายงานได้เผยถึงเหตุผลที่ว่า ทำไม Huawei P50 Series นั้นถูกจำกัดการใช้งานเพียง 4G LTE เท่านั้น แต่ต้องบอกก่อนว่า สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ก็มีความโดดเด่นในเรื่องกล้องหลังที่ได้รับสมญานามว่า “โดดเด่นในทุกพื้นที่” โดยทาง DXOMARK ได้ให้ หัวเว่ย P50 Pro เป็นสมาร์ตโฟนกล้องเทพที่ดีที่สุดในตลาดเป็นอันดับ 1

กวาดคะแนนรวมไปได้ทั้งหมด 144 คะแนน ซึ่งในในปีนี้ Huawei ยังคงเน้นในเรื่องกล้องเหมือนเดิม มาพร้อมกับเทคโนโลยี XD Optics และหน่วยประมวลผลสำหรับการถ่ายภาพ XD Fusion Pro ที่จะให้ภาพถ่ายนั้นมีความคมชัดมากขึ้น แม้ว่าจะถ่ายในพื้นที่ที่มีแสงน้อยก็ตาม ก็สามารถเก็บภาพได้อย่างละเอียด
เหตุผลที่ หัวเว่ย P50 Series รองรับการเชื่อมต่อ 4G LTE เท่านั้น
ด้วยสาเหตุที่คิดว่าหลายคนก็อาจจะพอรู้กันอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย เพราะถูกจำกัดไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 5G ของสหรัฐอเมริกา ตามมาตรการคว่ำบาตรที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนด และทางซีอีโอของ Huawei Consumer Business Group อย่าง Richard Yu ก็ได้ยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเองในระหว่างการนำเสนอสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่

ซึ่งเนื่องจากการแบนนั้นก็ทำให้ หัวเว่ย P50 Series มาพร้อมกับชิปเซ็ต Kirin 9000 4G ของ HiSilcon และ Snapdragon 888 4G ของ Qualcomm
โดยทาง Richard Yu ได้กล่าวว่า ด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 4G และ Wi-Fi 6+ นั้นก็สามารถตอบสนองการใช้งานส่วนใหญ่ได้เพียงพอแล้ว

นอกจากนี้ หัวเว่ย P50 Series จะมีราคาเริ่มต้นที่ 4,488 หยวน หรือประมาณ 22,840 บาท ทั้งนี้ หัวเว่ย P50 Pro ที่มาพร้อมกับชิปเซ็ต Kirin 9000 4G สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้แล้วที่ประเทศจีนและพร้อมจัดส่งในวันที่ 12 สิงหาคมนี้
และหลังจากเดือนธันวาคม 2021 เป็นต้นไป จะวางขายพร้อมกับชิป Snapdragon 888 4G ส่วน Huawei P50 จะวางขายในเดือนกันยายนนี้
นำเสนอข่าวโดย : StepGeek
ที่มา : gizmochina