เอาอีกจนได้ ซึ่งหลายคนคิดว่า ถ้าหาก Joe Biden ได้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแทน Donald Trump (อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ) แล้ว การบริหารของประธานาธิบดีคนใหม่จะมาพร้อมกับนโยบายที่เปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งทาง Huawei เอง ก็ได้หวังว่าประธานาธิบดี โจ ไบเดน นั้น จะคำนึงถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจของสหรัฐฯ และกำหนดนโยบายใหม่ๆ ต่อผลการดำเนินงานในสหรัฐอเมริกา

แต่ล่าสุด โจ ไบเดน กลับมาสานต่อ Donald Trump ซะอย่างนั้น งานนี้ได้ออกคำสั่งผู้บริหารชุดใหม่ โดยระบุและสั่งห้ามลงทุนกับบริษัทในจีนอีก 58 แห่ง ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2021 เป็นต้นไป ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้ของ Joe Biden นั้น มีความสงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศจีน จึงทำให้ทางฝั่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ออกคำสั่งชุดใหม่เพื่อขัดขวางไม่ให้ทางสหรัฐฯ ไปลงทุนกับบริษัทจีน

รายชื่อที่คาดว่าจะถูกแบนและขึ้นเตรียมขึ้นบัญชีดำเร็วๆ นี้ ได้แก่ ผู้ผลิตชิปเซ็ต SMIC, ผู้ให้บริการโทรคมนาคม China Mobile, บริษัทกล้องวงจรปิด Hikvision และบริษัทอื่นๆ อีกมากมายในประเทศจีน ในขณะที่ผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Huawei ยังคงอยู่ในรายชื่อเหมือนเดิม
โดยทางเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐอเมริกานั้นได้ยืนยันว่า บริษัทจีนเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะถูกเพิ่มรายชื่อเข้าไปใน Entity List ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่ง Entity List เป็นบัญชีดำทางการค้าที่เผยแพร่โดยสำนักงานอุตสาหกรรมและความปลอดภัยของกระทรวงพาณิชย์แห่งสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้กล่าวว่า “ฉันได้พบว่าการใช้เทคโนโลยีการสอดแนมของประเทศจีนนอกสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยการพัฒนาหรือการใช้เทคโนโลยีการสอดแนมของจีนเพื่ออำนวยความสะดวกในการปราบปรามหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคาม ดังนั้นแล้ว ฉันขอขยายขอบเขตของภาวะฉุกเฉินระดับชาติในคำสั่งผู้บริหาร 13959 เพื่อจัดการกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้น”
นอกจากนี้ เราคงต้องดูกันต่อไปว่าบริษัทผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่อื่นๆ จากประเทศจีนจะถูกเพิ่มเข้าไปในรายชื่ออีกหรือไม่ รวมถึง ณ ตอนนี้ ยังไม่มีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของประเทศจีนอย่าง Tik-Tok และ WeChat ถูกเพิ่มรายชื่อ

แถมทาง โจ ไบเดน ยังคงยืนยันและสานต่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต่อไป ซึ่งหลังจากนี้ บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือนักลงทุนทั่วไปจะได้รับการอนุญาตให้ขายกองทุนหรือหุ้นในบริษัทที่อยู่ในรายชื่อแบนภายในระยะเวลา 1 ปี
นำเสนอข่าวโดย : StepGeek
ที่มา : whitehouse, reuters