พูดถึงเรื่องสมาร์ตโฟนในปัจจุบันก็มีสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ยัดมาให้แบบไม่มีกั๊ก รวมไปถึงสเปกที่ยัดเข้ามาด้วย ซึ่งผู้ผลิตสมาร์ตโฟนสมัยนี้ก็เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ แถมยังมีการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีการแข่งขันในธุรกิจสมาร์ตโฟน ก็ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างเราที่สามารถเลือกและตัดสินใจซื้อสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับสเปกที่จัดเต็ม, การดีไซน์ที่หรูหราและราคาที่ย่อมเยา

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนจากทางฝั่งแดนมังกรหรือประเทศจีนนั้นได้มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากขึ้นและนำมาใช้กับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวออกมาทุกครั้ง พร้อมทั้งยังก้าวขึ้นเป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนระดับท็อปๆ ของโลก แบบไม่อายใคร ด้วยจุดเด่นที่ราคาเข้าถึงได้และการใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกรอบด้าน รวมไปถึงสเปกที่ให้มาแบบสมเหตุสมผลกับราคา

ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็มีหลายคนที่ถือสมาร์ตโฟนแบรนด์จีนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งถือว่าก็ได้การยอมรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี รวมไปถึงยอดขายสมาร์ตโฟนของแบรนด์จีนที่ยังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ นับว่าประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี วันนี้ทีมงาน StepGeek ได้รวบรวม 7 สมาร์ตโฟนแบรนด์จีนที่ดีที่สุดในปี 2021 ซึ่งมาพร้อมกับความคุ้มค่าอย่างไม่น่าเชื่อ

แต่งานนี้ไม่มีชื่อ รุ่นของแบรนด์ Huawei เลย เพราะเนื่องจากไม่มี GMS จนทำให้แบรนด์จีนเจ้าอื่นๆ อย่าง Xiaomi, OnePlus, OPPO, realme, Vivo และแบรนด์อื่นๆ ก้าวเข้ามาแทนที่ แถมยังมาพร้อมกับความคุ้มค่าและมีสเปกระดับพรีเมี่ยม แต่ขายในราคาที่ย่อมเยา เอาไปว่า จะมีแบรนด์ไหนบ้าง รุ่นไหนบ้าง ไปดูกัน!!!
Xiaomi Mi 11
มาพร้อมกับหน้าจอ QHD+ หน้าจอโค้งแบบเจาะรูสำหรับวางกล้องเซลฟี่ที่อยู่มุมซ้ายมือบนของหน้าจอแสดงผล ซึ่งหน้าจอเป็นแบบ 2K AMOLED ขนาด 6.81 นิ้ว จอรีเฟรชเรท 120Hz เพื่อตอบรับการทัชสกรีนที่ไหลลื่น
อีกทั้งยังมาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวใหม่อย่าง Snapdragon 888 รุ่นแรกของโลก ที่ทำงานร่วมกับกราฟิกรุ่นใหม่ Adreno 660 ที่เรนเดอร์ภาพได้เร็วขึ้นถึง 35% และสามารถทำงานร่วมกับหน่วยความจำแรมแบบ LPDDR5

กล้องหลัง 3 ตัว โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล + เลนส์ Macro ให้ความละเอียด 5 ล้านพิกเซลและแบตเตอรี่ขนาด 4600 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 55 วัตต์
พร้อมรองรับการชาร์จเร็วแบบไร้สายที่ 50 วัตต์และรองรับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 12.5 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดตั้งแต่แกะกล่อง

OnePlus 8 Pro
OnePlus 8 Pro ที่มาพร้อมกับหน้าจอ Fluid Display ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด QHD+ (3168×1440 พิกเซล) พร้อมค่า Refresh Rate ที่ 120Hz, ค่า Touch Sampling Rate ที่ 240Hz
ความสว่างสูงถึง 1,300 nits แสงสีฟ้าที่ออกมาจากหน้าจอน้อยกว่าเดิม 40% รองรับเทคโนโลยี HDR10/10+ แถมยังมีระบบปรับแสงตามสภาพอุณหภูมิ (Comfort Zone), ชิปเซ็ต Snapdragon 865, RAM 8GB/12GB (LPDDR5), ROM 128GB/256GB แบบ UFS3.0

กล้องหลังมีทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน (Quad-Camera) โดยกล้องตัวแรกมีความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX689 ที่มีเม็ดพิกเซลขนาด 1.12 ไมครอน รูรับแสง F/1.7 (มีระบบกันสั่น OIS+EIS)+ เลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล มีมุมมองกว้าง 120 องศา ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586 รูรับแสง F/2.2 + เลนส์ Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.2 ซูมแบบไม่สูญเสียรายละเอียดที่ 3x แบบ Hybrid zoom และ 30x ซูมแบบ Digital zoom พร้อมระบบกันสั่นแบบ OIS + เลนส์ Color Filter นอกจากนี้ ยังรองรับระบบโฟกัสภาพแบบ PDAF และมีไฟแฟลช LED ส่วนกล้องหน้า ให้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับรองรับระบบปฏิบัติการ OxygenOS (Android 10), แบตเตอรี่ขนาด 4,510 mAh รองรับ Warp Charge 30T ที่ 30 วัตต์และรองรับการชาร์จแบบไร้สายที่ 30 วัตต์, รองรับ Wi-Fi 6 (2.4 GHz และ 5 GHz), มีลำโพงคู่ระบบเสียง Dolby Atmos, รองรับสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอและรองรับกันน้ำมาตรฐาน IP68
ทั้งนี้ ราคาขาย OnePlus 8 Pro อยู่ที่ 6,000 หยวน หรือประมาณ 27,500 บาท (ในรุ่น8GB/128GB) เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในตลาดจีน
OPPO Find X2 Pro
OPPO Find X2 Pro เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงในตระกูล Find X2 Series ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+ (3168 x 1440 พิกเซล) จอรีเฟรชเรท 120Hz ความหนาแน่นพิกเซล 513ppi
อัตราส่วนของจอ 20:9 ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 6 หน้าจอเจาะรูสำหรับวางกล้องหน้า ให้ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล

ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 865 รองรับ 5G, RAM 12GB แบบ LPDDR5, ROM 512GB แบบ UFS 3.1 และกล้องหลังมีทั้งหมด 3 ตัว โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.7 มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IMX689 + เลนส์ Wide ให้ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 + เลนส์ Telephoto ให้ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4

แบตเตอรี่ขนาด 4,260 mAh รองรับชาร์จเร็ว SuperVOOC 2.0 ที่ 65 วัตต์ สามารถชาร์จเต็ม 100% ภายในระยะเวลาเพียง 38 นาที และรองรับระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย ColorOS 7.1
realme X50 Pro
realme X50 Pro เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่ยัดสเปกเทพและรองรับ 5G ตั้งแต่แกะกล่อง โดยรุ่นนี้ มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.44 นิ้ว ความละเอียด FHD+ จอรีเฟรชเรท 90Hz
และค่า Response ที่สูงถึง 180Hz ทำให้สามารถเล่นเกมต่างๆ ได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น และรองรับการแสดงผลแบบ HDR10+

ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 865 ที่มาพร้อมกับโมเด็ม X55 ในตัว รองรับการใช้งาน 5G, RAM 12GB แบบ LPDDR5 ที่มีความเร็วมากกว่าเดิม 29% และประหยัดพลังงาน 14%
ROM 512GB แบบ UFS 3.0 ที่สามารถเขียน-อ่านข้อมูลหรือเปิดแอปพลิเคชั่นต่างๆ ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม

กล้องหลัง มีทั้งหมด 4 ตัว โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล + เลนส์ Ultra-wide & Macro ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล + เลนส์ Telephoto ให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล สามารถซูมได้สูงสุด 20 เท่า + เลนส์ Black & White สามารถซูมแบบไฮบริดได้ถึง 20 เท่า ด้วยเลนส์ Telephoto ให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล

ส่วนกล้องหน้าคู่ โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล มาพร้อมเซ็นเซอร์ IMX616 + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, แบตเตอรี่ขนาด 4,200 mAh รองรับชาร์จเร็ว SuperDart ที่ 65 วัตต์
สามารถชาร์จจาก 0-100% ภายในระยะเวลา 35 นาที และถ้าหากชาร์จเพียง 3 นาที สามารถดูหนังได้นาน 100 นาที, คุยโทรศัพท์ได้นาน 4 ชั่วโมงและฟังเพลงเพลินได้ถึง 40 เพลง
POCO X3 NFC
มาพร้อมกับหน้าจอที่ดีไซน์แบบ DotDisplay ชนิด LCD ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2400 x 1080 พิกเซล) มีค่ารีเฟรชเรท 120Hz และอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัสหน้าจอ 240Hz
อัตราส่วนของจอ 20:9 และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 732G ของ Qualcomm รุ่นแรกของโลก ที่ทำคะแนน AnTuTu ได้มากกว่า 300,000 คะแนนเลยทีเดียว
และเคลมว่าเป็นชิปเซ็ตในตระกูล Snapdragon 700-series ที่รองรับ 4G ที่แรงที่สุด

การออกแบบตัวเครื่องนั้นมีขอบตัวเครื่องที่บางลง ด้านหลังทำมาจากวัสดุโพลีคาร์บอเนต (polycarbonate) และมีหน้าจอที่เต็มตามากขึ้นกว่าเดิม หน้าจอจะไม่มีรอยบาก แต่จะมีรูขนาดเล็กๆ ตรงกึ่งกลางบนของหน้าจอ สำหรับติดตั้งกล้องหน้า ที่ให้ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2

กล้องหลังมีทั้งหมด 4 ตัว โดยกล้องหลัก มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IMX682 ให้ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.89 + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 สามารถถ่ายมุมกว้างได้ 119 องศา + เลนส์ Macro ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 สามารถถ่ายภาพในระยะใกล้สุด 4 เซนติเมตร + เลนส์ Depth ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4

RAM 6GB แบบ LPDDR4X, ROM 64GB/128GB แบบ UFS 2.1 สามารถเพิ่ม microSD Card ได้สูงสุด 256GB
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,160 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33 วัตต์ ที่สามารถชาร์จเต็ม 100% ภายในระยะเวลาเพียง 65 นาที
รวมถึง ยังรองรับสแกนลายนิ้วมือที่ถูกฝังอยู่ในปุ่ม Power ทางด้านขวามือของตัวเครื่อง, รองรับ 4G LTE, มีพอร์ต USB-C, รองรับระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย MIUI 12 และมีเทคโนโลยีระบายความร้อน LiquidCool Technology 1.0 Plus
Xiaomi Mi 10T Pro
มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ จอรีเฟรชเรท 144Hz ที่มีไหลลื่นและมีความสมูทมากขึ้นกว่าเดิม หน้าจอเจาะรูสำหรับวางกล้องเซลฟี่ อัตราส่วนของจอ 20:9 ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5

ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 865 ของ Qualcomm, RAM 8GB แบบ LPDDR5, ROM 128GB แบบ UFS 3.1สามารถเพิ่ม microSD Card ได้สูงสุด 256GB, ขนาดแบตเตอรี่ 5,000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33 วัตต์ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี MMT ที่ทาง Xiaomi ได้เคลมว่า สามารถเล่นเกมได้ยาวนานถึง 14 ชั่วโมง

กล้องหลัง 3 ตัวพร้อมไฟแฟลช LED วางอยู่ในทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนซ้ายมือ โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซลและมาพร้อมกับ 6 โหมด (Long Exposer Mode) ด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็น Neon trails, Light painting, Moving crowd, Starry sky, Star trails, Oil painting รวมถึงมี AI Skyscraping 3.0 และสามารถถ่ายภาพในตอนกลางคืนได้อย่างสวยงาม เก็บรายละเอียดได้อย่างคมชัด และรองรับการถ่ายวีดีโอในระดับ 8K

ส่วนอีก 2 เลนส์ คือ เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และเลนส์ Macro ให้ความละเอียด 5 ล้านพิกเซลและกล้องหน้า ให้ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล
แบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 33 วัตต์, รองรับสแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างของตัวเครื่อง
OnePlus Nord
OnePlus Nord มาพร้อมกับหน้าจอ Fluid AMOLED ขนาด 6.44 นิ้ว หน้าจอแบนไม่ได้ขอบโค้ง ความละเอียด Full HD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ค่ารีเฟรชเรท 90Hz ที่ให้ความไหลลื่นในการใช้งานและเล่นเกม อัตราส่วนของจอ 20:9 รองรับ HDR 10/10+
ชิปเซ็ต Snapdragon 765G ของ Qualcomm, RAM 8GB/12GB, ROM 128GB/256GB, แบตเตอรี่ 4,115 mAh รองรับชาร์จไว Warp Charge 30T และรองรับระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย Oxygen OS

กล้องหลังมีทั้งหมด 4 ตัว จัดวางเรียงเป็นโมดูลด้านข้างซ้ายมือของตัวเครื่อง โดยกล้องหลัก มาพร้อมเซนเซอร์ Sony IMX586 ที่ให้ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.75 มาพร้อมกับระบบกันสั่น OIS และ EIS + เลนส์ Ultra-Wide ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รับแสง f/2.25 สามารถถ่ายภาพมุมกว้างได้ 119 องศา
และมีเลนส์ Depth ให้ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 + เลนส์ Macro ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 ที่สามารถถ่ายภาพได้ในระยะใกล้สุดถึง 4 เซนติเมตร
รวมถึงมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพกลางคืน Nightscape ที่สามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ, ถ่าย Super Macro, UltraShort HDR และ Portrait mode พร้อมทั้งยังสามารถถ่ายวีดีโอได้ในระดับ 4K ที่ 30fps

กล้องหน้าคู่ มาพร้อมกับ AI Camera ที่ให้การถ่ายภาพนั้นมีความคมชัดและละเอียดมากขึ้น โดยกล้องหลัก มาพร้อมเซนเซอร์ Sony IMX616 ที่ให้ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.46 + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.45 สามารถถ่ายมุมกว้างได้ 105 องศา และสามารถถ่ายวิดีโอได้ในระดับ 4K ที่ 60fps, Slomo 1080p 240fps
นำเสนอข่าวโดย : StepGeek
ที่มา : techadvisor