นับตั้งแต่ต้นปีจนถึง ณ ปัจจุบัน เราก็ได้พบกับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่อยู่หลายรุ่นทั้งระดับเริ่มต้นจนไปถึงระดับเรือธงที่มาพร้อมกับสเปกระดับเทพ, กล้องหลังที่มีประสิทธิภาพและรองรับชาร์จเร็ว รวมถึงเหล่าผู้ผลิตสมาร์ตโฟนยังแข่งขันกันในเรื่องของราคาอีกด้วย ยิ่งราคาย่อมเยามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะได้รับการตอบรับออกมาเป็นอย่างดี แถมสเปกก็ดีด้วยเช่นกัน
ในวันนี้ทีมงาน StepGeek ได้รวบรวม 6 สมาร์ตโฟนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในกลุ่มผู้บริโภคอย่างเราประจำเดือนมิถุนายน 2021 ซึ่งแบรนด์ OnePlus ก็เพิ่งจะเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้ยืนหนึ่งบนบัลลังก์ไปเรียบร้อยแล้ว

OnePlus Nord CE 5G
OnePlus Nord CE (CE : Core Edition) 5G ได้ประกาศเปิดตัวไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่ได้รับการต่อยอดและพัฒนามาจาก Nord รุ่นแรก แต่อาจจะมีการปรับลดสเปกลงเล็กน้อย ซึ่งราคาก็จะขายถูกกว่าเดิมอีกด้วย

มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว จอรีเฟรชเรท 90Hz ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 750G ของ Qualcomm ขนาด 8 นาโนเมตร, RAM 6GB/8GB/12GB, ROM 64GB/128GB/256GB แบบ UFS 2.1 และกล้องหลัง 3 ตัว โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ Omnivision + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายมุมกว้างได้ 119 องศา + เลนส์ Depth Camera ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล

ส่วนกล้องหน้า ให้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล, แบตเตอรี่ขนาด 4,500 mAh รองรับชาร์จเร็ว 30 วัตต์ สามารถชาร์จจาก 0% – 70% ภายในระยะเวลา 30 นาที
รองรับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย OxygenOS 11 ส่วนการออกแบบตัวเครื่องนั้นทำมาจากพลาสติกทั้งหมดทั้งด้านข้างและด้านหลังของตัวเครื่อง แต่หน้าจอใช้วัสดุเป็นกระจก
Xiaomi Redmi Note 10 Pro
Redmi Note 10 Pro ที่มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว จอรีเฟรชเรท 120Hz และอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส 240Hz หน้าจอเจาะรูสำหรับวางกล้องหน้า ให้ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
ซึ่งรูที่เราเห็นบนหน้าจอแสดงผลนั้นจะที่ไม่รบกวนสายตาในขณะที่ใช้งานหรือเล่นเกม เพราะมีขนาด 2.96 มิลลิเมตรเท่านั้น ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 รองรับ HDR10 และสามารถเร่งความสว่างจอได้สูงสุดถึง 1200nits

ชิปเซ็ต Snapdragon 732G, RAM 6GB/8GB แบบ LPDDR4X, ROM 128GB แบบ UFS 2.2 สามารถเพิ่ม microSD Card สูงสุด 512GB, แบตเตอรี่ขนาด 5,020 mAh รองรับการชาร็จเร็ว 33 วัตต์ (แถมที่ชาร์จมาให้ในกล่องฟรี!!)
สามารถชาร์จ 59% ภายในระยะเวลา 30 นาที และสามารถชาร์จเต็ม 100% ภายในระยะเวลา 74 นาทีและรองรับสแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างของตัวเครื่อง

กล้องหลังมีทั้งหมด 4 ตัว โดยกล้องหลัก มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HM2 ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.9 + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 สามารถถ่ายภาพมุมกว้างได้ 118 องศา + เลนส์ Tele-Macro ให้ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 สามารถซูมได้ 2 เท่า + เลนส์ Depth Camera ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
Xiaomi Redmi Note 10
มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.43 นิ้ว ความละเอียด FHD+ ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 3 หน้าจอเจาะรูตรงกึ่งกลางบนหน้าจอแสดงผลสำหรับวางกล้องเซลฟี่

ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 678 ของ Qualcomm, RAM 4GB/6GB, ROM 64GB/128GB สามารถเพิ่ม microSD Card ได้สูงสุด 512GB และกล้องหลังมีทั้งหมด 4 ตัว โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IMX582 รูรับแสง f/1.79 + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 สามารถถ่ายมุมกว้างได้ 118 องศา + เลนส์ Macro ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 + เลนส์ Depth Camera ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
ส่วนกล้องหน้าให้ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, แบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33 วัตต์ (แถมมาให้ในกล่องฟรี!!!) ซึ่งทางแบรนด์ได้เคลมว่า สามารถใช้งานได้นานถึง 2 วันเลยทีเดียว และรองรับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 12
POCO X3 Pro
POCO X3 Pro เป็นเวอร์ชั่น 4G ที่มีรูปร่างและลักษณะคล้ายกับ POCO X3 NFC ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดีไซน์ของกล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว, รองรับสแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างของตัวเครื่องและหน้าจอได้รับการเจาะรูตรงกึ่งกลางบนหน้าจอแสดงผล
มาพร้อมกับสเปกแรง ด้วยหน้าจอขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ จอรีเฟรชเรท 120Hz และ Touch Sampling Rate 240Hz รองรับ HDR10 และครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 6 หน้าจอเจาะรูตรงกึ่งกลางบนของหน้าจอแสดงผลสำหรับวางกล้องหน้า

ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 860, RAM 6GB/8GB, ROM 128GB/256GB รองรับ microSD Card ได้สูงสุด 1TB และขนาดแบตเตอรี่ 5,160 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33 วัตต์ (ชาร์จเต็ม 100% ภายในระยะเวลาเพียง 59 นาที)
สามารถใช้งานได้นานถึง 2 วัน ซึ่งทาง POCO ได้เคลมว่าสามารถเล่นเกมได้นานถึง 11 ชั่วโมง, ฟังเพลงได้นาน 117 ชั่วโมง, ดูวิดีโอ 18 ชั่วโมงและถ่ายวิดีโอได้นาน 6.5 ชั่วโมง

มีระบบระบายความร้อน LiquidCool 1.0 Plus, รองรับสแกนลายนิ้วมือด้านข้างของตัวเครื่อง, รองรับสแกนใบหน้า, รองรับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 12 ตั้งแต่แกะกล่อง
และจะมีทั้งหมด 3 สีให้เลือก ได้แก่ สี Metal Bronze, สีน้ำเงิน Frost Blue และสีดำ Phantom Black

ทั้งนี้ กล้องหลังมีทั้งหมด 4 ตัว วางอยู่ในรูปทรงกลมกึ่งกลางบนของด้านหลังตัวเครื่องพร้อมกับไฟแฟลช LED โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ IMX582 รูรับแสง f/1.79 + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายมุมกว้างได้ 119 องศา รูรับแสง f/2.2 + เลนส์ Macro ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพในระยะใกล้สุด 4 เซนติเมตร + เลนส์ Depth Camera ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้า ให้ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล และรองรับ Night Mode
Poco M3 Pro 5G
POCO M3 Pro 5G เพิ่งจะประกาศเปิดตัวที่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ที่มาพร้อมกับสเปกที่สุดคุ้มและราคาประหยัดที่มีความคุ้มค่าที่สุดในตลาดสมาร์ตโฟน ขายเริ่มต้นเพียง 4,999 บาท
เป็นรุ่นที่ได้รับการอัปเกรดมาจากรุ่น POCO M3 และเป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี 5G หน้าจอแสดงผล LCD ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2400 x 1080 พิกเซล)
หน้าจอเจาะรู DotDisPlay สำหรับวางกล้องหน้า จอรีเฟรชเรท 90Hz ความสว่างของจอ 500nits ที่คล้ายกับ Redmi Note 10 5G

ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 5G ซึ่งคาดว่าเป็นชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 700 ขนาด 7 นาโนเมตร มี RAM 4GB/6GB, ROM 64GB/128GB แบบ UFS 2.2 และกล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว
โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล + เลนส์ Depth Camera ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล + เลนส์ Macro ให้ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และมีไฟแฟลช LED

ส่วนกล้องหน้า ให้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, แบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh รองรับชาร์จเร็ว 18 วัตต์ สามารถชาร์จผ่านพอร์ต USB-C และสามารถใช้งานได้นานถึง 2 วัน
รองรับระบบปฏิบัติการ Android 11 ครอบทับด้วย MIUI 12 ตั้งแต่แกะกล่องและรองรับสแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างของตัวเครื่อง

Samsung Galaxy S21 Ultra 5G
ถึงแม้ว่าจะเป็นเรือธงที่เปิดตัวมานานแล้ว แต่ก็ยังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในรุ่น Ultra นั้น เป็นรุ่นท็อปสุดของซีรี่ส์ ที่มาพร้อมกับกล้องระดับโปรที่ล้ำสมัยที่สุด โดยให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล
หน้าจอแสดงผลแบบอัจฉริยะที่สว่างที่สุดและรองรับปากกา S-Pen ในตระกูล S-Series เป็นครั้งแรก และมาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED 2X ขนาดใหญ่ 6.8 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ (3200 x 1440 พิกเซล)

จอรีเฟรชเรท 120Hz ความสว่างของหน้าจอสูงสุด 1500 nits หน้าจอครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass Victus ซึ่งนับว่าเป็น Gorilla Glass ที่แข็งแรงที่สุด
โดยรุ่นท็อปนี้จะมีสีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำและสีเงิน บนวัสดุพื้นผิวด้านแบบ Haze Finish สุดคลาสสิก รวมถึงหน้าจอมีความลื่นไหลจากอัตรารีเฟรชเรท 120Hz ที่สามารถปรับระดับที่ 10Hz จนถึง 120Hz ตามเนื้อหาอัตโนมัติ

กล้องหลังทั้งหมด 4 ตัว โดยกล้องหลัก ให้ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล มาพร้อมเซ็นเซอร์ Samsung HM3 แบบ Nano Super-PD ขนาดพิกเซล 0.8um ที่มีขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.33″ รูรับแสง f/1.8 และรองรับระบบกันสั่น OIS + เลนส์ Ultra-wide ให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมเซ็นเซอร์ IMX563 รูรับแสง f/2.2 + เลนส์ Telephoto (1) ให้ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล สามารถซูมแบบออปติคอลได้ 10 เท่า รูรับแสง f/4.9 + เลนส์ Telephoto (2) ให้ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 สามารถซูมแบบออปติคอลได้ 3 เท่า และมีระบบโฟกัสภาพแบบ Laser AF Time-of-Flight

และมีอีกสิ่งหนึ่งสำหรับรุ่น Ultra นั่นก็คือ รองรับปากกา S-Pen ที่สามารถใช้จดบันทึกบนหน้าจอได้คล้ายกับสมาร์ทโฟนในรุ่น Galaxy Note Series และจะมีเฉพาะในรุ่น Ultra เท่านั้นที่รองรับปากกา S-Pen
และแบตเตอรี่ขนาดเท่ากับ Galaxy S20 Ultra ที่มีขนาด 5,000 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 25 วัตต์

นำเสนอข่าวโดย : StepGeek.TV
ที่มา : gsmarena